Sonic Frontiers ได้กำหนดทิศทางใหม่สำหรับภาคนี้ โดยการผสมผสานระหว่าง Sonic แบบดั้งเดิมเข้ากับเกมแนวปลายเปิด (open-ended) เพื่อความก้าวหน้าและการสำรวจในโลก semi-open world
ตั้งแต่วินาทีแรกที่เปิดเผยออกมา เป็นที่ชัดเจนว่า Sonic Frontiers ค่อนข้างแตกต่างจากภาคก่อนๆ แม้ว่าการผจญภัยแบบ 3D ของเจ้าเม่นสายฟ้าสีน้ำเงินนั้นแป๊กมาตลอด 31 ปี แต่สำหรับ Sonic ทุกรุ่น นั้นมี Sonic Boom หรือ Sonic '06 ที่ถูกทิ้งไว้อยู่ในเบื้องหลังอันขมปี๋ และทำให้เจ้ามาสคอตตัวนี้เริ่มจืดจาง โดยเกมใหม่แต่ละเกมได้นำเสนอรูปแบบต่างๆ ของ Sonic โดยหวังว่าพวกมันจะสามารถจับสายฟ้าลงขวดไว้ได้และทำให้ซีรี่ส์นี้มีทิศทางที่แน่ชัดพร้อมก้าวเดินไปข้างหน้าได้ในที่สุด แต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ Sonic Frontiers ก็เป็นเกมนั้น
รีวิวเกม Sonic Frontiers แน่นอนว่ามันยังมีข้อบกพร่องอยู่ และยังคงรักษาองค์ประกอบที่คุ้นเคยมากมาย ที่คุณคาดว่าจะพบได้ในเกมที่นำแสดงโดยเจ้าเม่นตัวเดิม แต่ความแตกต่างของ Sonic Frontiers ทำให้มันโดดเด่นและยอดเยี่ยม นี้จึงทำให้เกม 3D Sonic เป็นเกมที่ดีที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ
รีวิวเกม Sonic Frontiers การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและโดดเด่นที่สุดคือการเปลี่ยนไปสู่โลกแบบ semi-open world Sega เรียก Frontiers ว่า "open-zone" ซึ่งหมายความว่าเกมนี้แบ่งออกเป็นหลายเกาะ ที่ Sonic สามารถเปิดสำรวจแมพได้ ซึ่งแต่ละโซนมีความสวยงามเป็นของตัวเอง ตั้งแต่เนินเขาเขียวขจีไปจนถึงที่ราบทะเลทรายที่แห้งแล้งและเกาะภูเขาไฟที่เดือดปุด ๆ ลอยอยู่เหนือเมฆ ผสมผสานความงามตามธรรมชาติ เข้ากับวัดของมนุษย์ต่างดาวโบราณ grind rails และ bounce pads มันเป็นส่วนผสมที่แปลกประหลาดแต่ลงตัว เข้ากันได้ดีกับความคิดไซไฟของเกม สภาพแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โทนบรรยากาศเปลี่ยนไป สีสันฉูดฉาดสดใสในโซนิคแบบดั่งเดิม อย่างเช่น Green Hill Zone ถูกแทนที่ด้วยสีพาสเทลตุ๋นๆ ซึ่งแรงบันดาลใจนี้ได้มาจาก The Legend of Zelda: Breath of the Wild ไม่ใช่แค่ในภาพลักษณ์ของ Frontiers เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้ดนตรีและการเปลี่ยนไปสู่เกมแนว open-ended world