- แพลตฟอร์ม : Switch
- คะแนน : 9/10 (Excellent)
หลังจากเกม Devil May Cry 2 ถูกนำมาลงบน Switch ไป ทางผู้กำกับ Hideaki Itsuno ก็ได้กลับมาสานต่อภาค 3 อีกครั้งใน Devil May Cry 3 พร้อมกับแก้ไขความผิดพลาดในภาคก่อน พร้อมตัวเอกเดิม Dante ก็ได้กลับมาพร้อมความอวดดี แม้จะมีการเปิดตัวภาคล่าสุดไป แต่การกลับมาของ Devil May Cry 3 ก็แสดงให้เห็นถึงระบบการต่อสู้รูปแบบดั้งเดิม การแก้ปริศนาที่ซ้ำซาก มุมกล้องแย่ๆ ในบางครั้ง และคัตซีนค่อนข้างแย่ แต่ตัวเกมภาคนี้ก็ยังมีความสดใหม่เหมือนวันที่วางจำหน่าย และยังคงเป็นเกมแอคชั่นที่ยอดเยี่ยมเฉกเช่นเดิม
ในภาค 1 ภาค 2 ตัวเอกอย่าง Dante เป็นคนที่เงียบๆ ขรึม แต่ภาคนี้ไม่ โดย 3 ภารกิจแรกในเกมจะยังคงค่อนข้างเสียเวลาเป็นอย่างมากในการผ่านด่าน การโจมตีแบบต่อเนื่อง และการต่อสู้ที่ดุเดือกับศัตรูที่หลากหลายยังจัดเต็มอยู่อย่างครบถ้วน ตัวเกมมีระยะเวลาการเล่นจนจบโดยประมาณ 15 ชั่วโมง เรื่องราวของตัวเกมกล่าวถึง Vergil พี่ชายของ Dante และ Arkham ทั้งคู่ได้ทำการเปิดประตูระหว่างโลกมนุษย์ และปีศาจโดยใช้เลือดครึ่งหนึ่งของตระกูล Vergil เราจำเป็นต้องบุกตะลุย หอคอยลึกลับ Temen-Ni-Gru และต้องเผชิญหน้าครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างพี่น้อง การต่อสู้กับบอสที่ยอดเยี่ยม ซึ่งจะทดสอบทักษะคอมโบ และการหลบหลีกของเราในระดับสูงสุด
การต่อสู้กับบอสสมควรที่จะได้รับการยกย่องเป็นพิเศษ เพราะการเผชิญหน้าถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม โดยในช่วงแรกเราจะมีหลายสิ่งอย่างที่ต้องทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราต้องผ่านระดับความยากที่สูงขึ้น บอสจะเป็นเหมือนความสนุกในการเล่นของเรา เมื่อเราต้องทำการทดลอง และสังเกตพวกมันว่ามีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน โดยการต่อสู้กับ Agni และ Rudra เป็นหนึ่งในการทดสอบครั้งใหญ่ของตัวเกม และเป็นส่วนที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ในไม่ช้าเราจะพบวิธีที่จะกำจัดพวกเขาได้ในเวลาสั้นๆ ด้วยการหลบหลีกที่ดี และการปะทะกันของดาบที่ทำให้พวกเขาสูญเสียตำแหน่งชั่วคราว มันเหมือนกันกับ Nevan, Beowulf, Cerberus และการเผชิญหน้ากับบอสตัวอื่นๆ ในเกม การออกแบบนำเสนอเส้นทางที่ง่ายกว่าเสมอ หากเราให้ความสนใจ และฝึกฝนทักษะของเราอยู่ตลอด
แน่นอนว่าจุดเด่นของ Devil May Cry 3 คือระบบการต่อสู้ที่ Dante สามารถใช้เทคนิคการต่อสู้ทั้งหมดได้ 6 แบบ ซึ่งจะมี 2 แบบที่ปลดล็อกทีหลัง เริ่มแรกจาก Trickster, Swordsman, Gunslinger และ Royalguard ช่วยให้เราสามารถปรับสไตล์การต่อสู้ของเราได้ตามที่ต้องการ และไม่ว่าเราต้องการที่จะมีสมาธิในการหลบหลีก การโจมตีอย่างรวดเร็ว โฟกัสไปที่การฟันดาบ เทคนิคปืน หรือการป้องกันแบบพิเศษ เราจะ สามารถเลือกหนึ่งในรูปแบบการต่อสู้เหล่านี้ได้ทันทีในแต่ละภารกิจ แต่ใน Switch นี้ Capcom ได้เพิ่มโหมด Freestyle เข้ามา นั่นทำให้เราสามารถข้ามระหว่างรูปแบบการต่อสู้ต่างๆ เหล่านี้ได้ทันทีโดยใช้ D-pad มันเป็นการปรับแต่งที่น่าทึ่งที่ส่งผลกระทบอย่างแท้จริงต่อการเล่นเกมทั้งหมด ก่อเกิดเป็นการเล่นที่ดียิ่งขึ้น และเปลี่ยนวิธีการเล่นใหม่ๆ ในการเข้าหาศัตรู และสร้างคอมโบที่สมบูรณ์แบบในขณะที่เลือกสไตล์การต่อสู้ต่างๆ ได้ในทันที
ถ้านั่นยังไม่พอ การเปิดตัวครั้งนี้ยังเพิ่มความสามารถในการเล่นห้อง Blood Palace ซึ่งจะปลดล็อคหลังจากที่เราจบภารกิจหลัก ตัวโหมดเป็นการเล่นแบบ Co-op ที่ผู้เล่นคนหนึ่งจะได้สวมบทบาทเป็น Dante ในขณะที่อีกคนเล่นเป็น Vergil ทั้งสองสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่นี้ได้เพิ่มเข้ามาในแพ็คเกจเดิมที่ให้ความสนุกเป็นอย่างมาก และสามารถเล่นซ้ำได้ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เล่นบน Switch จะได้รับเวอร์ชั่นล่าสุดของเกมแอคชั่นที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล
Devil May Cry 3 อาจจะมีอายุมาแล้วกว่า 15 ปี มุมกล้องอาจจะดูช้าไปเล็กน้อย และอาจจะไม่สวยในบางครั้ง นี่เป็น Dante ที่ดีที่สุดที่เคยมีมาในแง่ของลักษณะมันตอกย้ำทัศนคติที่คึกคักสุดเหวี่ยงของเขาโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่การขี่ขีปนาวุธไปจนถึงการระเบิดศัตรู การฆ่าด้วยกีตาร์ไฟฟ้า เสียงของ Dante, Vergil และ Mary ได้มีการทำเพิ่งมาใหม่ และบอสทั้งหมดที่เราต้องเผชิญหน้าเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม ทั้งหมดถูกทำออกมาได้ดีโดยเฉพาะคัตซีน ในแง่ของการพอร์ตมาลงบน Switch ตัวเกมทำออกมาอย่างไร้ที่ติ และทุกสิ่งยังคงดูดีอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเล่นบนหน้าจอโหมด Handheld ขนาดเล็ก เฟรมเรตจะไม่หยุดนิ่ง เวลาโหลดเกือบจะทันที และใช้พื้นที่เพียง 5GB เท่านั้น ดังนั้นเราสามารถเก็บมันไว้ใน Switch ของเราได้อย่างไม่ต้องคิดอะไรมากนัก